ไขมันในเลือดสูง รักษาได้แค่เริ่มวิ่งจ๊อกกิ้ง [แจกโปรแกรมฟรี]

หลายคนที่ตรวจสุขภาพประจำปีแล้วเจอคำว่า “ไขมันในเลือดสูง” อาจยังไม่รู้ว่าคำนี้มีความหมายลึกซึ้งขนาดไหน บางคนไม่ได้รู้สึกเจ็บ ไม่ได้มีอาการใดๆ จึงละเลย แต่จริง ๆ แล้ว ไขมันในเลือดสูงเป็นภัยเงียบที่สามารถส่งผลถึงหัวใจและสมองของเราได้ในระยะยาว แต่ข่าวดีก็คือ เราสามารถจัดการกับภาวะนี้ได้ ด้วยวิธีง่ายที่สุด นั่นคือ “การวิ่ง”

บทความนี้ NBA Sportmanagement จะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องไขมันในเลือดสูงอย่างละเอียด พร้อมแจกโปรแกรมวิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น เพื่อฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

ไขมันในเลือดสูง คืออะไร ?

“ไขมันในเลือดสูง” หรือที่หลายคนเรียกกันสั้นๆ ว่า คอเลสเตอรอลสูง ไม่ได้หมายถึงไขมันที่เราเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่คือไขมันชนิดต่างๆ ที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด โดยบางชนิดเป็นประโยชน์ แต่บางชนิดก็เป็นโทษ หากมีมากเกินไป โดยไขมันในเลือดหลัก ๆ มีอยู่ 3 ชนิดที่ควรรู้จัก

  1. LDL (Low-Density Lipoprotein) – ไขมันเลว
    ชื่ออาจจะดูวิชาการ แต่จำง่ายๆ ว่า LDL คือไขมันที่หากมีมาก จะเกาะตามผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ตีบแคบ และเสี่ยงต่อโรคหัวใจหรือเส้นเลือดในสมองตีบได้ง่าย โดยยิ่งค่า LDL ในร่างกายสูงเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

  2. HDL (High-Density Lipoprotein) – ไขมันดี
    HDL เป็นเหมือนนักเก็บกวาดในร่างกาย มันจะพาไขมันส่วนเกินจากหลอดเลือดกลับไปที่ตับ เพื่อขับออกจากร่างกาย โดยค่า HDL ถือเป็นค่าที่ยิ่งสูงยิ่งดี เพราะค่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ [อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ : ไขมันดี มีอะไรบ้าง? เลือกกินแบบไหนให้ร่างกายได้ประโยชน์ ]

  3. Triglycerides (ไตรกลีเซอไรด์)
    เป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งที่ร่างกายได้มาจากอาหารที่เรากินเข้าไป โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง หากกินมากไป พลังงานที่ใช้ไม่หมดจะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ และเก็บสะสมในร่างกาย ส่งผลให้เลือดข้น หนืด และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้

โดยสรุปง่าย ๆ ว่า ภาวะไขมันในเลือดสูงนั้นเกิดจากการที่ร่างกายของเรามี คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL - Low-Density Lipoprotein) ที่มากเกินไปจนไปสะสมตามผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะ ไขมันในเลือดสูง ซึ่งทำให้ร่างกายเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ส่วนไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันอีกชนิดที่ร่างกายสร้างขึ้นและได้รับจากอาหาร หากมีสูงเกินไปก็เป็นอันตรายเช่นกัน 

ไขมันในเลือดสูง

ดังนั้น ภาวะ ไขมันในเลือดสูง จึงหมายถึงการมีระดับ LDL หรือไตรกลีเซอไรด์สูงเกินไป หรือมีระดับ HDL ต่ำเกินไป หรืออาจเป็นทั้งสองอย่างร่วมกันก็ได้

ไขมันในเลือดสูงเท่าไร ถึงอันตราย ?

การรู้ว่าไขมันในเลือดของเราอยู่ในระดับไหนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะตัวเลขเหล่านี้จะบอกได้ว่าเรามีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากน้อยเพียงใด แล้วระดับ ไขมันในเลือดสูง เท่าไรถึงจะเรียกว่าอันตราย และควรเริ่มกังวลซึ่งโดยทั่วไปแล้ว แพทย์มักจะพิจารณาค่าไขมันต่างๆ ร่วมกัน แต่พอจะสรุปเกณฑ์คร่าวๆ ที่ถือว่าเริ่มมีความเสี่ยงหรืออยู่ในภาวะ ไขมันในเส้นเลือดสูง ได้ดังนี้

  • คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol): หากสูงกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) ถือว่าเริ่มสูง และถ้าสูงกว่า 240 mg/dL ถือว่าสูงมาก
  • คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL): เป็นตัวที่ต้องให้ความสำคัญมาก หากสูงกว่า 130 mg/dL ถือว่าเริ่มสูง และถ้าเกิน 160 mg/dL ถือว่าสูง และหากมีปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจอื่นร่วมด้วย แพทย์อาจต้องการให้ค่า LDL ต่ำกว่านี้อีก
  • คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL): ค่านี้ยิ่งสูงยิ่งดี หากต่ำกว่า 40 mg/dL ในผู้ชาย หรือต่ำกว่า 50 mg/dL ในผู้หญิง ถือว่าต่ำเกินไปและเพิ่มความเสี่ยง
  • ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides): หากสูงกว่า 150 mg/dL ถือว่าเริ่มสูง และถ้าสูงกว่า 200 mg/dL ถือว่าสูง

เมื่อค่าไขมันเหล่านี้ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยเฉพาะการมี LDL สูง หรือ HDL ต่ำ จะทำให้เกิดการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือด ก่อตัวเป็นคราบพลัค (Plaque) ทำให้หลอดเลือดตีบแคบและแข็งตัว ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และปัญหาหลอดเลือดอื่น ๆ ตามมา

ไขมันในเลือดสูง ห้ามกินอะไรบ้าง ?

อาหารที่เรากินทุกวันมีผลต่อระดับไขมันในเลือดอย่างมาก โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัว และน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ไขมันในเส้นเลือดสูง ขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว ซึ่งมีอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น

  • ของทอด : ไก่ทอด หมูทอด กล้วยแขก ลูกชิ้นทอด รวมถึงอาหารตามร้านฟาสต์ฟู้ด
  • ขนมหวาน และเบเกอรี่ : เค้ก คุกกี้ โดนัท ที่มีเนยเทียม
  • อาหารแปรรูป : ไส้กรอก แฮม เบคอน ที่เต็มไปด้วยโซเดียมและไขมันแฝง
  • น้ำอัดลม และเครื่องดื่มรสหวาน : แม้ไม่ใส่ไขมัน แต่เป็นตัวกระตุ้นให้ไตรกลีเซอไรด์ให้พุ่งสูง
  • เนื้อสัตว์ติดมัน และหนังสัตว์ : เป็นแหล่งไขมันอิ่มตัวที่เพิ่ม LDL โดยตรง

สำหรับใครที่ตอนนี้กำลังมีภาวะ ไขมันในเลือดสูง เราแนะนำให้ลองเปลี่ยนมาทานอาหารธรรมชาติที่มีใยอาหารสูงอย่าง ข้าวกล้อง ผักสด ปลา และธัญพืช รวมถึงเพิ่มกิจกรรมที่เผาผลาญไขมัน เช่น การออกกำลังกายแบบ Calisthetics ที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและระบบเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น

ไขมันในเลือดสูง ห้ามกินอะไรบ้าง ?

ไขมันในเลือดสูงเท่าไร ต้องกินยา ?

การกินยาลดไขมันในเส้นเลือด เป็นเพียงหนึ่งในวิธีจัดการ ไขมันในเลือดสูง แต่ไม่ใช่ทางเลือกแรกเสมอไป เพราะการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและหันมาเริ่มออกกำลังกาย ก็สามารถลดไขมันในเลือดได้ดีกว่าในระยะเวลาแค่ 3-6 เดือน แต่สำหรับใครที่ต้องกินยาลดไขมันในเลือด ขอให้พิจารณาตามปัจจัยดังนี้

  • มี LDL > 190 mg/dL ติดต่อกันหลายครั้ง
  • มีโรคหัวใจ เบาหวาน หรือโรคหลอดเลือดร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ แม้ระดับไขมันอาจไม่สูงมาก แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพื่อลดความเสี่ยงโดยรวม
  • หลังจากให้เวลาในการปรับเปลี่ยนอาหารและการออกกำลังกาย (เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง) ประมาณ 3-6 เดือน หากระดับ ไขมันในเส้นเลือดสูง ยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาให้ยา
  • เคยมีประวัติเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดแล้ว เช่น เคยหัวใจขาดเลือด หรือหลอดเลือดสมองตีบตัน ในกรณีนี้ การควบคุมระดับ ไขมันในเส้นเลือดสูง ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมากเป็นสิ่งจำเป็น และมักต้องใช้ยาช่วย

แจกโปรแกรมวิ่ง 7 วัน ฟื้นฟูอาการไขมันในเลือดสูง ทำตามได้ง่าย ๆ 

สำหรับใครที่อยากเริ่มต้นดูแลตัวเองด้วยการวิ่ง แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี วันนี้เรามีโปรแกรมวิ่งเบื้องต้น 7 วันมาฝาก โปรแกรมนี้ออกแบบมาสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพจากภาวะ ไขมันในเลือดสูง และช่วยให้คุณค่อยๆ สร้างความคุ้นเคยกับการออกกำลังกาย มาลองดูกันได้เลย

วันที่ 1: เริ่มต้นเบาๆ

  • เดินเร็ว 10 นาที
  • สลับวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ 1 นาที / เดิน 2 นาที (ทำซ้ำ 5-6 ครั้ง)
  • เดินช้าลง 5 นาที (คูลดาวน์)
  • รวมเวลาประมาณ 25-30 นาที

วันที่ 2: พักผ่อน หรือ ออกกำลังกายเบาๆ

พักผ่อนเต็มที่ หรือ เลือกทำกิจกรรมเบาๆ เช่น ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือลองทำท่า Calisthenics ง่ายๆ ที่บ้าน เช่น สควอท วิดพื้น (แบบเข่าแตะพื้น) แพลงก์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง

วันที่ 3: เพิ่มระยะวิ่งเล็กน้อย

  • เดินเร็ว 5-10 นาที (วอร์มอัพ)
  • สลับวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ 2 นาที / เดิน 2 นาที (ทำซ้ำ 5-6 ครั้ง)
  • เดินช้าลง 5 นาที (คูลดาวน์)
  • รวมเวลาประมาณ 30-35 นาที

ไขมันในเส้นเลือด รักษา

วันที่ 4: ลอง Tempo Run เบาๆ (เสริมความแข็งแรง)

  • เดินเร็ว 5-10 นาที (วอร์มอัพ)
  • วิ่งจ๊อกกิ้งวอร์มอัพเบาๆ เพิ่มอีก 5 นาที
  • Tempo Run: พยายามวิ่งด้วยความเร็วที่เร็วกว่าการจ๊อกกิ้งปกติเล็กน้อย เป็นความเร็วที่รู้สึกว่า "ท้าทายแต่ยังควบคุมได้" และยังพอพูดเป็นประโยคสั้นๆ ได้อยู่ ประมาณ 5-7 นาที (สำหรับผู้เริ่มต้นจริงๆ อาจเริ่มที่ 5 นาทีก่อน)
  • เดินหรือจ๊อกกิ้งเบาๆ เพื่อพัก (Recovery) 3-5 นาที (ถ้ายังรู้สึกไหว และอยากลองอีกเซ็ต สามารถทำซ้ำช่วง Tempo Run อีก 1 รอบได้)
  • เดินช้าลง 5-10 นาที (คูลดาวน์)
  • รวมเวลาประมาณ 30-40 นาที

วันที่ 5: วิ่งต่อเนื่องนานขึ้น

  • เดินเร็ว 5-10 นาที (วอร์มอัพ)
  • พยายามวิ่งจ๊อกกิ้งต่อเนื่อง 5-7 นาที (ถ้าไม่ไหวให้สลับเดินได้)
  • เดิน 2 นาที
  • พยายามวิ่งจ๊อกกิ้งต่อเนื่องอีก 5-7 นาที
  • เดินช้าลง 5 นาที (คูลดาวน์)
  • รวมเวลาประมาณ 30-35 นาที

วันที่ 6: กิจกรรมทางเลือก (Cross-Training)

เลือกออกกำลังกายแบบอื่นที่คุณชอบ เช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือฝึก Calisthenics ที่เน้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ประมาณ 30-40 นาที เพื่อลดแรงกระแทกและบริหารกล้ามเนื้อส่วนอื่น

วันที่ 7: ลองวิ่งยาวขึ้น (เน้น วิ่งโซน 2)

  • เดินเร็ว 5-10 นาที (วอร์มอัพ)
  • พยายามวิ่งจ๊อกกิ้งต่อเนื่องด้วยความเร็วสบายๆ ที่ยังสามารถพูดคุยเป็นประโยคสั้นๆ ได้ (นี่คือลักษณะของการ วิ่งโซน 2) ประมาณ 15-20 นาที หากเหนื่อยให้สลับเดินสั้นๆ
  • เดินช้าลง 5-10 นาที (คูลดาวน์)
  • รวมเวลาประมาณ 30-40 นาที

หลังจากครบ 7 วันแล้ว คุณสามารถทำซ้ำโปรแกรมนี้ หรือค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาการวิ่งในแต่ละวันทีละน้อย พยายามวิ่งให้ได้สัปดาห์ละ 3-5 วัน การวิ่งอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายปรับตัว ลดระดับ ไขมันในเส้นเลือดสูง และทำให้คุณรู้สึกแข็งแรงขึ้นอย่างแน่นอน

แนะนำ Maxnum Plus T5 ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อการวิ่งลดไขมันโดยเฉพาะ

เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่า ไขมันในเลือดสูง สามารถจัดการได้ด้วยการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการวิ่งอย่างสม่ำเสมอ... สิ่งสำคัญถัดมาคือ “เครื่องมือที่ดี” ที่ช่วยให้คุณทำได้จริงทุกวัน ถ้าคุณกำลังมองหาลู่วิ่งที่พร้อมรองรับทั้งการเริ่มต้น และการฝึกแบบจริงจัง ขอแนะนำ Maxnum Plus T5 ที่ออกแบบมาเพื่อการวิ่งลดไขมันโดยเฉพาะ

ลู่วิ่งรุ่นนี้ไม่ใช่แค่สวย แต่ครบเครื่องทั้งดีไซน์ ฟังก์ชัน และความทนทาน ใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเพิ่งเริ่มจ๊อกกิ้งมือใหม่ หรือวิ่งจริงจับฉบับซ้อมวิ่งมาราธอน ซ้อมวิ่งไตรกีฬา

ฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกเป้าหมาย

 ✅ มอเตอร์ AC 4 แรงม้า – แรงพอสำหรับสายฝึกจริงจัง วิ่งต่อเนื่องก็ไม่สะดุด
✅ ความเร็วสูงสุด 22 กม./ชม. | ปรับความชันได้ถึง 15% – ใช้ฝึกได้ตั้งแต่เดินเร็วไปจนถึงการจำลองวิ่งขึ้นเนิน
✅ หน้าจอ LED Dot-Matrix ใช้งานง่าย – มาพร้อม 40 โปรแกรมฝึก + โหมดวัด Body Fat ที่ช่วยติดตามความก้าวหน้าได้จริง
✅ รองรับ Bluetooth – เชื่อมต่อแอปสุขภาพ ฟังเพลง หรือดูวิดีโอไปพร้อมกันได้
✅ พื้นที่วิ่งกว้าง 153 x 55 ซม. | รับน้ำหนักได้ถึง 150 กก. – สบายใจแม้ตัวใหญ่หรือวิ่งเร็ว
✅ มาตรฐาน EN957 – โครงสร้างแน่นหนา มั่นใจทุกก้าว

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มออกกำลังกาย หรือเป็นคนที่มีเป้าหมายชัดในการลดไขมันและฟื้นฟูสุขภาพ Maxnum Plus T5 คือลู่วิ่งไฟฟ้าที่ช่วยให้คุณ “เริ่มต้นได้ง่าย” สั่งซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า Maxnum Plus+ T5 ในราคาพิเศษ คลิกที่ลิงก์นี้ หรือ LINE ID: maxnumfitness หรือคลิก bit.ly/3y9h0tX เพื่อสั่งซื้อได้ทันที

ต้องการเปิดฟิตเนส?

ให้เราช่วยบอกคุณว่าควรเริ่มต้นอย่างไรให้ได้กำไรเข้าธุรกิจยิมของคุณให้ได้มากและเร็วที่สุด เราให้คำปรึกษาฟรีที่เหมาะกับขนาดพื้นที่และงบประมาณ

ปรึกษาฟรี!