เลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี ? รวมทุกสิ่งที่คุณต้องรู้ อัปเดตปี 2022 !

การมีลู่วิ่งไฟฟ้าไว้ในบ้าน ไม่ว่าคุณจะพบปัญหาอย่าง ฟิตเนสปิด ไม่มีเวลาเดินทางไปยิม หรือต้องแย่งกันเล่นเครื่องออกกำลังกายกับคนอื่น จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เพราะการมีลู่วิ่งไฟฟ้าติดไว้ที่บ้านทำให้คุณสามารถเลือกออกกำลังกายเวลาไหนก็ได้ แถมยังสามารถออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย เนื่องจากลู่วิ่งไฟฟ้านั้นเป็นอุปกรณ์ยอดฮิตในการคาร์ดิโอ ที่สามารถช่วยเผาผลาญหรือลดความอ้วนได้เป็นอย่างดีนั่นเอง 

ดังนั้นหากใครกำลังมองหาลู่วิ่งไฟฟ้า และยังไม่รู้ว่าควรเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี ควรเลือกซื้ออย่างไรบ้าง ในบทความนี้เราจึงอยากมาแนะนำทุกสิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า พร้อมแนะนำลู่วิ่งไฟฟ้า 5 รุ่น เพื่อเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่กำลังหาลู่วิ่งไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ต่อการออกกำลังกายและคุ้มค่าสำหรับคุณ

ประเภทของลู่วิ่งไฟฟ้ามีอะไรบ้าง ?  

ลู่วิ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ 

1. ลู่วิ่งไฟฟ้า

2. ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า

ลู่วิ่งไฟฟ้าคืออะไร ?

ลู่วิ่งไฟฟ้าคือ เครื่องออกกำลังกายที่ถูกผลิตมาเพื่อการเดินหรือวิ่ง ผ่านระบบการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนสายพานทำให้ผู้ใช้สามารถออกกำลังกายได้อย่างสะดวกสบายภายในร่ม ประหยัดพื้นที่ใช้สอย และได้ใช้พลังงานในการเผาผลาญจำนวนมาก ไม่แพ้กับการออกวิ่งตามสวนสาธารณะเลยทีเดียว มากกว่านั้นลู่วิ่งไฟฟ้าแต่ละรุ่นนั้นยังมีดีไซน์และออกแบบมาเพื่อรองรับผู้ใช้หลายกลุ่มอีกด้วย

สิ่งที่คุณควรรู้ ก่อนเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า 


  • มอเตอร์ไฟฟ้า 

มอเตอร์ของลู่วิ่งไฟฟ้านั้นจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ AC และ DC โดยส่วนใหญ่มอเตอร์ลู่วิ่งที่เหมาะใช้ในบ้านนั้นจะเป็น DC เพราะมีแรงม้า (HP) อยู่ที่ 1-3 แรงม้า และมอเตอร์ของลู่วิ่งที่เหมาะใช้ในฟิตเนสนั้นจะเป็น AC เพราะจะมีแรงม้าตั้งแต่ 4 ขึ้นไป ยิ่งแรงม้าเยอะเท่าไหร่ (อัตราการวิ่งเร็วสูงสุดก็จะสูงขึ้นด้วย รับน้ำหนักได้เยอะ และแน่นอนว่าราคาก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน) 

  • ขนาดสายพานและพื้นที่ในการวิ่ง 

สายพานลู่วิ่งไฟฟ้ายิ่งกว้างมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ผู้วิ่งนั้นสามารถวิ่งได้สะดวกมากขึ้น วิ่งแล้วไม่อึดอัด โดยจะมีหน่วยวัดเป็น (กว้าง x ยาว)

  • การปรับความชัน

การปรับความชันของลู่วิ่งไฟฟ้าช่วยให้คุณสามารถฝึกเสมือนรูปแบบการขึ้นเขาเพื่อเพิ่มความแข็งแรง โดยลู่วิ่งแต่ละเครื่องจะมีวิธีปรับความชันอยู่ 2 รูปแบบ  คือ ปรับความชันด้วยมือ (Manual) และ ปรับอัตโนมัติได้ขณะวิ่ง (Auto)

  • สามารถพับได้

ลู่วิ่งไฟฟ้านั้นมีทั้งรูปแบบที่ไม่สามารถพับเก็บได้ และสามารถพับเก็บได้แบบ 45 องศา , 90 องศา หากใครที่ต้องการประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ สามารถเลือกตามความเหมาะสมของลู่วิ่งไฟฟ้าของแต่ละเครื่องได้เลย 

  • รับน้ำหนักของผู้ใช้งานและรับแรงกระแทก

ลู่วิ่งไฟฟ้าแต่ละรุ่นจะมีอัตราการรับน้ำหนักสูงสุดที่ต่างกัน คุณจำเป็นจะต้องรู้น้ำหนักของตัวเอง และการรับน้ำหนักของเครื่อง เพราะหากลู่วิ่งรับน้ำหนักที่มากเกินไป จะทำให้มอเตอร์และสายพานชำรุดได้ง่าย อาจทำให้เสียเงินค่าซ่อมแพงมากกว่าค่าเครื่อง รวมถึง​​ระบบรองรับการกระแทก เพราะส่วนนี้จะเป็นเหมือนส้นรองเท้าที่นุ่ม ช่วยซัพพอร์ทการกระแทกระหว่างขากับลู่วิ่ง ทำให้การวิ่งของคุณปลอดภัยมากยิ่งขึ้น


ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าคืออะไร ?

ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าคือ เครื่องออกกำลังกายประเภทลู่วิ่ง ที่สามารถออกกำลังกายได้เลย โดยที่ไม่ต้องเสียบปลั๊ก หรือไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ด้วยการทำงานผ่านระบบสายพานเท่านั้น ทำให้ผู้วิ่งนั้นสามารถเริ่มเล่นได้ทันที แต่จำเป็นต้องใช้แรงออกกำลังกายที่มากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป เพราะสายพานนั้นจะขับเคลื่อนด้วยร่างกายของคุณ ซึ่งจะแตกต่างกับลู่วิ่งไฟฟ้าในส่วนของการไม่มีมอเตอร์ และเผาผลาญแคลอรี่เพิ่มมากถึง 30% สามารถใช้งานได้ในสถานที่ที่ไม่มีไฟฟ้า

สิ่งที่คุณควรรู้ ก่อนเลือกซื้อลู่วิ่งแบบไม่ใช้ไฟฟ้า 

  • ขนาดของเครื่องและพื้นที่ในการวิ่ง

ลู่วิ่งที่ไม่ใช่ไฟฟ้านั้นจะมีสเปคการเลือกที่ต่างกันไม่มาก การเลือกขนาดและพื้นที่จึงเป็นเรื่องง่าย เพราะเพียงแค่เลือกขนาดเครื่องที่มีพื้นที่ให้สะดวกต่อการใช้งานของคุณเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

  • รับน้ำหนักได้สูงสุด

โดยปกติลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้านั้นจะสามารถรองรับน้ำหนักได้มากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไปอยู่แล้ว แต่ต้องเลือกดูขนาดของลู่วิ่งด้วยว่าเล็กหรือใหญ่ เพื่อจะได้รู้ถึงการรับน้ำหนักที่สามารถรับได้สูงสุด 

  • การปรับความหนืด

ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะปรับความหนืดในการวิ่งได้ถึง 4 ระดับ (0-4) เพื่อเพิ่มแรงต้านและเป็นการฝึกฝนความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อนั้น ให้ดูที่การปรับความหนืดด้วย เพราะแต่ละรุ่นมีดีไซน์ที่ต่างกัน การปรับความหนืดเลยอาจจะต่างกันนั่นเอง 

สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ >> เปรียบเทียบชัด ๆ ระหว่างลู่วิ่งไฟฟ้ากับลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าแบบไหนตอบโจทย์มากกว่ากัน 


เลือกซื้อลู่วิ่งยี่ห้อไหนดี ? แนะนำ 5 ลู่วิ่งสุดคุ้มที่ควรมีติดไว้ในบ้าน !

  1. ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น Bolzen Motive TD451

ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น BOLZEN Motive TD451 เป็นลู่วิ่งไฟฟ้าพับได้ มาพร้อมกับราคาสุดคุ้มเพียง 27,900 บาทเท่านั้น โดยมีฟังก์ชันการใช้งานเช่นเดียวกันกับลู่วิ่งไฟฟ้าคุณภาพในฟิตเนส ซึ่งจะประกอบไปด้วย 

  • สามารถพับเก็บได้ (ประหยัดพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน)
  • มอเตอร์ไฟฟ้าแรง 2.5 แรงม้า ชนิด DC (เหมาะแก่การใช้งานภายในบ้าน ประหยัดไฟ เสียง

เงียบ)

  • ขนาดของสายพานที่ใช้ในการวิ่งกว้างถึง 54 เซนติเมตร ยาว 1.50 เมตร
  • รองรับน้ำหนักผู้ใช้งานมากถึง 150 กิโลกรัม 
  • ปรับความเร็วสูงสุด 20 กิโลเมตร / ชั่วโมง และปรับความชันได้สูงสุดถึง 15 ระดับ
  • หน้าจอโปรแกรมการวิ่งกว่า 12 โปรแกรม สามารถวัดชีพจร อัตราเผาผลาญไขมันในการวิ่ง

และตั้งเป้าหมายในการฝึกได้ตามต้องการ

  • ช่องสี่เหลี่ยมสำหรับวางแก้วน้ำ และโทรศัพท์ 
  • มีพัดลมในตัว (คลายความร้อนในขณะวิ่ง)
  • ช่องสำหรับเสียบ USB (สามารถเปิดเพลงฟังได้ มีลำโพงในตัว)

สามารถเลือกผ่อน 0% ได้นาน 3, 6,10 เดือน ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ >> Shopee และ Lazada


  1. ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น Impulse IT307

ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น Impulse IT307 ดีไซน์เหมือนลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น Star Trac ที่มีราคาสูงถึง 6 หลัก แต่ Impulse IT307 มาพร้อมกับราคาสุดคุ้มเพียง 30,900 บาทเท่านั้น โดยมีฟังก์ชันการใช้งานเช่นเดียวกันกับคุณภาพของฟิตเนสซึ่งจะประกอบไปด้วย 

  • สามารถพับเก็บได้ (ประหยัดพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน)
  • มีจุด Safety 2 จุด และมีราวแขนจับยาว (ผู้สูงอายุและเด็กสามารถเล่นได้อย่างปลอดภัย)
  • มอเตอร์ไฟฟ้าแรง 3 แรงม้า ชนิด DC (เหมาะกับการใช้งานในบ้าน ประหยัดไฟ เสียงเงียบ)  
  • มีปุ่ม Pause เหมาะกับนักวิ่งมืออาชีพ ที่ต้องการพักช่วงเวลา และทำสถิติที่ดีที่สุด
  • ขนาดของสายพานที่ใช้ในการวิ่งกว้างถึง 50 เซนติเมตร ยาว 1.52 เมตร
  • รองรับน้ำหนักผู้ใช้งานมากถึง 125 กิโลกรัม 
  • ปรับความเร็วสูงสุด 18 กิโลเมตร / ชั่วโมง และปรับความชันได้สูงสุดถึง 12 ระดับ
  • หน้าจอโปรแกรมการวิ่งกว่า 15 โปรแกรม สามารถวัดชีพจร อัตราเผาผลาญไขมันในการวิ่ง 

และตั้งเป้าหมายในการฝึกได้ตามต้องการ

  • ช่องสำหรับวางโทรศัพท์

สามารถเลือกผ่อน 0% ได้นาน 3, 6,10 เดือน ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ >> Shopee และ Lazada


  1. ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น Xiaomi KINGSMITH T1

ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น Xiaomi KINGSMITH T1 มาพร้อมกับราคาถูก ๆ เพียง 15,990 บาท เท่านั้น โดยมีฟังก์ชันการใช้งานประกอบไปด้วย

  • สามารถพับเก็บได้ พร้อมระบบพับกันกระแทก พับได้อย่างนุ่มนวล (ประหยัดพื้นที่ใช้สอยภายใน

บ้าน)

  • มีจุด Safety 1 จุด และมีราวแขนจับสั้น 
  • มอเตอร์ไฟฟ้าแรง 1.25 แรงม้า ชนิด DC (เหมาะกับการใช้งานในบ้าน ประหยัดไฟ เสียงเงียบ)  
  • ขนาดของสายพานที่ใช้ในการวิ่งกว้าง 48 ซม. x ยาว 120 ซม.
  • ปรับความเร็วสูงสุด 0.8 - 15 กิโลเมตร / ชั่วโมง และปรับความชันได้เพียง 4 ระดับ
  • หน้าจอโปรแกรม 3 โปรแกรม 
  • ที่วางโทรศัพท์มือถือ

**เหมาะสำหรับใครที่ต้องการลู่วิ่งไฟฟ้าราคาถูก แต่อาจจะได้รับการประกันมอเตอร์ด้วยระยะเวลาที่น้อย รับน้ำหนักของผู้ใช้งานได้น้อย และไม่ทนต่อการใช้งานได้เป็นระยะเวลานานด้วย ดังนั้นหากใครมีสมาชิกในบ้านที่ใช้ร่วมกัน หรือมีน้ำหนักเยอะ ที่เป็นเหตุทำให้ลู่วิ่งต้องทำงานหนัก (จึงอาจไม่เหมาะเท่าไหร่ครับ) อีกทั้งยังมีโปรแกรมการวิ่งที่น้อย ไม่เหมาะกับนักวิ่งที่ต้องการฝึกอย่างหลากหลาย

ดูสินค้าเพิ่มเติม >> ที่นี่


  1. ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น Gorilla Teck A185

ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น Gorilla Teck A185 มาพร้อมกับราคาสุดคุ้มเพียง 38,800 บาทเท่านั้น โดยมีฟังก์ชันการใช้งานเช่นเดียวกันกับคุณภาพของฟิตเนสซึ่งจะประกอบไปด้วย 

  • เป็นลู่วิ่งไฟฟ้าพับได้ (ประหยัดพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน)
  • มอเตอร์ไฟฟ้าแรง 3 แรงม้า ชนิด AC (มอเตอร์สามารถใช้งานได้นานเหมือนฟิตเนส) 
  • ขนาดของสายพานที่ใช้ในการวิ่งกว้างถึง 54 เซนติเมตร ยาว 1.50 เมตร
  • รองรับน้ำหนักผู้ใช้งานมากถึง 150 กิโลกรัม 
  • ปรับความเร็วสูงสุด 20 กิโลเมตร / ชั่วโมง และปรับความชันได้สูงสุดถึง 15 ระดับ
  • หน้าจอโปรแกรมการวิ่งกว่า 12 โปรแกรม สามารถวัดชีพจร อัตราเผาผลาญไขมันในการวิ่ง และตั้งเป้าหมายในการฝึกได้ตามต้องการ
  • ช่องสี่เหลี่ยมสำหรับวางแก้วน้ำ และโทรศัพท์ 
  • มีพัดลมในตัว (คลายความร้อนในขณะวิ่ง)
  • ช่องสำหรับเสียบ USB (สามารถเปิดเพลงฟังได้ มีลำโพงในตัว)

สามารถเลือกผ่อน 0% ได้นาน 3, 6,10 เดือน ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ >> Shopee และ Lazada


  1. ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น Impulse IT407

ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น Impulse IT407 ดีไซน์เหมือนลู่วิ่งรุ่น Star Trac ที่มีราคาสูงถึง 6 หลัก แต่ Impulse IT407 มาพร้อมกับราคาสุดคุ้มเพียง 39,900 บาทเท่านั้น โดยมีฟังก์ชันการใช้งานเช่นเดียวกันกับลู่วิ่งไฟฟ้าที่ใช้กันในฟิตเนสซึ่งจะประกอบไปด้วย 

  • เป็นลู่วิ่งไฟฟ้าพับได้ (ประหยัดพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน)
  • มีจุด Safety 2 จุด และมีราวแขนจับยาว (ผู้สูงอายุและเด็กสามารถเล่นได้อย่างปลอดภัย)
  • มีปุ่ม Pause เหมาะกับนักวิ่งมืออาชีพ ที่ต้องการพักช่วงเวลา และทำสถิติที่ดีที่สุด 
  • ขนาดของสายพานที่ใช้ในการวิ่งกว้างถึง 50 เซนติเมตร ยาว 1.435 เมตร
  • รองรับน้ำหนักผู้ใช้งานมากถึง 100 กิโลกรัม 
  • ปรับความเร็วสูงสุด 16 กิโลเมตร / ชั่วโมง และปรับความชันได้สูงสุดถึง 10 ระดับ
  • หน้าจอโปรแกรมการวิ่งกว่า 10 โปรแกรม สามารถวัดชีพจร อัตราเผาผลาญไขมันในการวิ่ง และตั้ง

เป้าหมายในการฝึกได้ตามต้องการ

  • ช่องสำหรับวางโทรศัพท์

สามารถเลือกผ่อน 0% ได้นาน 3, 6,10 เดือน ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ >> Shopee และ Lazada


ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีและคุ้มค่าควรมีการรับประกันสินค้าหลังการขาย

Teknisi Service Treadmill Surabaya Alat Fitnes Termurah – Service Ac  Surabaya


มือใหม่ส่วนใหญ่มักจะเกิดข้อผิดพลาดในการเลือกซื้อลู่วิ่งผ่านช่องทางออนไลน์อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากจะอาศัยดูเฉพาะราคาที่ถูก หรือการโฆษณาที่เกินจริง จนลืมไปว่าเรื่องการบริการหลังการขายนั้นสำคัญยิ่งกว่า จึงเป็นสิ่งที่ควรคำนำถึงทุกครั้งก่อนเลือกซื้อ เพราะบางครั้งคุณอาจจะเลือกซื้อลู่วิ่งจากร้านค้าที่ไม่มีความมืออาชีพ ไม่มีการรับประกันสินค้า  และอาจทำให้สินค้าใช้งานได้ไม่นานอีกด้วย

ด้วยเหตุผลนี้เองจึงเป็นหัวใจสำคัญของการซื้อลู่วิ่ง เพื่อให้คุณเลือกซื้อได้อย่างคุ้มค่า และควรคำนึงถึงการเลือกร้านขายลู่วิ่งที่มีโครงสร้างหลักจากบริษัทจดทะเบียนในกระทรวงพาณิชย์เพื่อเป็นการยืนยันตัวตนร้านค้า และการบริการหลังการขายไม่ว่าจะเป็น การรับประกันมอเตอร์ไฟฟ้า จัดส่งและติดตั้งฟรีถึงบ้าน การตรวจเช็คอุปกรณ์ของคุณอย่างสม่ำเสมอนั่นเองครับ   

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นทางเลือกก่อนตัดสินใจซื้อ

>> วิธีเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้าให้คุ้มค่าและเหมาะสมสำหรับคุณ

>> วิธีรักษาลู่วิ่งไฟฟ้าให้ใช้งานได้นาน

>> ลู่วิ่งไฟฟ้าผ่อน 0% นาน 3 , 6, 10 เดือน


สรุป

และนี่คือสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนจะตัดสินใจซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า เพื่อต้องการมีไว้ในการออกกำลังกายที่บ้าน เพราะหากคุณไม่รู้สิ่งเหล่านี้เลย อาจทำให้เกิดผลเสียและไม่คุ้มค่าต่ออุปกรณ์ที่ซื้อมาได้ง่าย ๆ  ดังนั้นควรที่จะตรวจสอบรายละเอียดให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อด้วย เพราะบางครั้งของที่เป็นเครื่องออกกำลังกายไฟฟ้าเหล่านี้ค่อนข้างจะมีปัญหาได้ง่าย จึงขอแนะนำว่าควรเลือกซื้อจากร้านที่ผ่านการรับรองจริง ๆ 

อย่างไรก็ตามหากต้องการที่จะซื้อแล้ว ผมแนะนำว่าควรจะดูงบประมาณที่พอเหมาะ และความต้องการในการใช้อุปกรณ์ด้วย เพื่อเป็นการกำหนดเป้าหมาย และซื้อได้ถูกวัตถุประสงค์ตามความต้องการของคุณ หากปฏิบัติตามทั้งหมดนี้ แน่นอนว่าผู้ซื้อนั้นจะไม่ต้องรู้สึกกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องมาเสียเล็กเสียน้อย หรือรู้สึกไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้ซื้อมาอย่างแน่นอนเลยล่ะ

ต้องการเปิดฟิตเนส?

ให้เราช่วยบอกคุณว่าควรเริ่มต้นอย่างไรให้ได้กำไรเข้าธุรกิจยิมของคุณให้ได้มากและเร็วที่สุด เราให้คำปรึกษาฟรีที่เหมาะกับขนาดพื้นที่และงบประมาณ

ปรึกษาฟรี!